Callcenter: 088-004-0005

Line ID: @starclinic

Open Daily 11:00 - 21:00

เว็บไซต์นี้สำหรับสมาชิกสตาร์คลินิกเท่านั้น

หวาน มัน เค็ม อะไรร้ายกว่ากัน?หวาน มัน เค็ม อะไรร้ายกว่ากัน?

  • Sweet, oily and sault Which one is worst?

    ‘หวาน มัน เค็ม’ ใครกันแน่ร้ายกว่ากัน?

     

    อาหารไทยเป็นอาหารที่มีหลากหลายรสชาติทั้ง เปรี้ยว เผ็ด หวาน และเค็ม โดยความจัดจ้านของอาหาร

     

    ไทย ยังเป็นที่ถูกปากทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ แต่ภายใต้รสชาติแสนอร่อยนั้นก็ซ่อนอันตรายอยู่ไม่

     

    น้อย หากเราบริโภคมากเกินไป

     

     

     

     

    มาเริ่มกันที่ หวาน – เค็ม แค่ไหนไม่เป็นโรค

     

    น้ำตาล เป็นสารให้ความหวานในอาหาร เป็นหนึ่งในสารที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์อีกหนึ่งชนิด ไม่ว่าจะใน

     

    กระบวนการเผาผลาญหรือกระบวนการขับของเสีย ล้วนต้องอาศัยพลังงานจากน้ำตาลแทบทั้งสิ้น แต่หาก

     

    บริโภคน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเป็น “ไขมันสะสม” ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

     

    ทำให้เกิดโรคอ้วน และนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังในที่สุด

     

     

     

     

     

     

    โดยการบริโภคหวานให้ปลอดภัยไม่ควรบริโภค

     

    น้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน (1 ช้อนชา = 4 กรัม ) แต่อย่างน้อยที่สุดก็ควรปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เพื่อ

     

    ลดและเลี่ยงปริมาณน้ำตาลที่ได้รับต่อวัน เช่น ดื่มเครื่องดื่มหวานน้อย หรือดื่มน้ำเปล่า และควรชิมก่อนปรุง

     

    ทุกครั้งหากเป็นอาหารที่มการปรุงเช่นก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น

     

     

     

     

     

    ด้าน รสเค็ม ร่างกายของทุกคนมีอวัยวะที่ทำงานกับความเค็มโดยตรงคือ ไต โดยมีหน้าที่ช่วยปรับโซเดียม

     

    ในร่างกายให้สมดุล ถ้าโซเดียมในร่างกายมากเกินไป ไตก็จะสั่งการให้ขับออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าน้อยเกิน

     

    ไป ไตก็จะดูดโซเดียมกลับไปสู่กระแสเลือดได้ ดังนั้น เมื่อไตทำงานผิดปกติก็จะไม่สามารถขับเกลือออก

     

    จากเลือดได้ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทำงานหนักขึ้น ความดันเลือดสูง เมื่อ

     

    หัวใจทำงานหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ จะมีผลให้เกิดหัวใจวายได้

     

     

     

     

     

    การบริโภคเกลือไม่ควรเกิน 1 ช้อนชา ต่อวัน (โซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) แต่แหล่งที่มาของรส

     

    เค็มก็ไม่ใช่แค่เกลืออย่างเดียว แต่ยังหมายถึงปริมาณโซเดียมที่แอบแฝงอยู่ในอาหารหลากหลายประเภท

     

    เช่น บรรดาเครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ หรือแม้แต่ผัก ธัญพืช และเนื้อสัตว์ก็มี

     

    โซเดียมอยู่ในตัวเอง ซึ่งหากเป็นคนติดรสเค็มแล้วอยากลองเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

     

    เพื่อลดโรค ควรงดการเติมเครื่องปรุง

     

     

     

     

     

     

    เพราะในเครื่องปรุงรสแทบทุกชนิดมีโซเดียมแฝงอยู่ค่อนข้างสูงอยู่

     

    แล้ว เลี่ยงอาหารสำเร็จรูป และอาหารแปรรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, อาหารสำเร็จรูป(รวมถึงแบบแช่แข็ง),​

     

    ไส้กรอก, หมูยอ, แหนม, เบคอน, ผักดอง, ผลไม้ดอง, หรือขนมขบเคี้ยว เป็นต้น

     

     

     

     

     

    ปิดท้ายด้วย ความอร่อยที่ยากจะหลีกเลี่ยงอย่าง “ความมัน”

     

    แม้ไขมันจะมีประโยชน์ต่อการทำงานของสมองและหัวใจ แต่หากร่างกายได้รับไขมันมากเกินความจำเป็น

     

    ไขมันเหล่านั้นอาจนำไปสู่อาการป่วยของโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด โรคหัวใจ โดยเฉพาะคนที่เผลอรับ

     

    ประทานอาหารประเภทไขมันไม่อิ่มตัว และไขมันทรานส์สูงเป็นประจำ โดยควรบริโภคน้ำมันไม่เกินวันละ 6

     

    ช้อนชา หรือประมาณ 30 กรัม นอกจากอาหารประเภททอด ในอาหารชนิดอื่น ๆ ก็มีไขมันแฝงตัวอยู่ เช่น

     

    ขนมเค้ก ขนมที่ใส่กะทิ อาหารแปรรูปอย่าง กุนเชียง ใส่กรอก ทูน่ากระป๋อง ปลากระป๋อง เนื้อสัตว์ติดมัน

     

    และอาหารประเภทถั่ว เป็นต้น

     

     

     

     

     

    ทุกรสชาติจะมีความร้ายแรงต่อร่างกายเหมือนกัน หากบริโภคเกินความจำเป็น และขาดการดูแลเอาใจใส่

     

    ร่างกายด้วยการออกกำลังกาย นอกจากการควบคุมการบริโภคด้วยการลดหวาน มัน เค็ม ด้วยตัวเอง การ

     

    อ่านฉลากโภชนาการก็ซื้อและรับประทาน ก็ถือเป็นหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เราสามารถควบคุมการบริโภคได้

     

    ง่ายยิ่งขึ้น

     

     

     

     

     

     

    แต่ไม่ว่าอะไรจะอันตรายที่สุด แต่ความหวานและความมันก็ทำให้รูปร่างของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่าง

     

    รวดเร็วนั่นก็คือไขมันค่ะ ไขมันส่วนเกินไม่ธรรมดานะคะ เพราะไหนจะต้องซื้อเสื้อใหม่เพราะไซส์ต่างกับตัว

     

    เก่าเสียแล้วเครื่องแต่งกายทุกอย่างซื้อใหม่หมด ส่องกระจกทีไรก็ได้แต่ถอนหายใจ จะดีกว่าไหมถ้ามาหา

     

    เราที่ Star Clinic เรากำจัดไขมันส่วนเกินให้กับคุณได้โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นค่ะ

     

     

    เพิ่มเพื่อน

     

    ทีมแพทย์สตาร์คลินิก มีประสบการณ์ด้านผิวพรรณและศัลยกรรมความงามมากกว่า 10 ปี

     

    เปิดบริการทุกวัน เวลาทำการ 11.00 - 21.00 น.

    ปรึกษาหรือสอบถามโปรโมชั่น โทร. 088-004-0005

    อ่าน 2058 ครั้ง

ข่าวสารและกิจกรรมสตาร์คลินิก (Star Clinic) | ข่าวสารและกิจกรรมอัพเดท